หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน มีนาคม 28, 2024, 04:04:25 pm
ข่าว:
@ติดต่อไทยระยอง[e-mail : ThaiRayong.webmaster@gmail.com] (098-2933593 , Facebook.com/ThaiRayongFanPage)ปิดระบบสมัครสมาชิกชั่วคราว
กลับหน้าแรกไทยระยอง แผนที่ระยอง | ที่พักระยอง | ของกินระยอง | เที่ยวระยอง | ซื้อขายสร้างบ้านและการตกแต่ง | เยาวชนคนดีศรีระยอง
**1672ข้อมูลท่องเที่ยว 1155 ตำรวจท่องเที่ยว, 1669แพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพ
**ข่าวภาพ คลิป** #คลิกที่นี่ รวมกิจกรรม ข้อมูล ในระยองและใกล้เคียง
สนับสนุนโดย ระยองทรัพย์ปิโตรเลียม
สนับสนุนโดย สุขเกษมการบัญชี
สนับสนุนโดย บ้านครูโอ๊ะ
ติดต่อต่อป้ายโฆษณา 098-2933593

รวมบันทึก ตามพระราชดำริ
คลิก แผนที่เที่ยวระยอง  |   เบอร์โทรสำคัญ  |   วัดในระยอง  |   เที่ยวระยอง  |   เที่ยวทั่วไทย  |  เสม็ด&การเดินทาง  |  ที่พัก  |  ร้านอาหาร  |  Webboard(ข้อมูลท่องเที่ยวกิจกรรม update ทุกวัน!)   |  หางาน
คลิก: @HAM @ฟ้าใสระยอง145.200 @จอมแหEnduro @รวมเอ็นดูโร่ @โมโตครอสโลกMotocrossWorld @ไบค์เกอร์ @offroad @เดินวิ่ง @จักรยาน @ดำน้ำ @KiteBoarding @ฟุตบอล @กอล์ฟ @ไตรกีฬา @Darts

+  ระยอง-เสม็ด:รวมกิจกรรม กีฬา งานบุญ งานอาสา ที่พัก ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ธุรกิจ ในระยองและทั่วไทย
|-+  จิตอาสา,งานบุญ,วัด,โรงพยาบาล
สนับสนุนโดย


| |-+  วัดในระยอง แหล่งธรรม สถานที่ศักสิทธิ์ งานปิดทอง ฝังลูกนิมิต ผูกสีมา สร้างวัด สร้างโบสถ์ ทอดกฐิน ผ้าป่า ไถ่ชีวิตโค กระบือ งานบุญต่างๆ
| | |-+  เรื่องราวที่เพื่อนๆจากเวบ http://timpirus.com ได้บันทึกจากหนังสือ ที่ อ.เพียร์วิทย์(ศิษย์หลวงปู่ทิม)
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวที่เพื่อนๆจากเวบ http://timpirus.com ได้บันทึกจากหนังสือ ที่ อ.เพียร์วิทย์(ศิษย์หลวงปู่ทิม)  (อ่าน 23934 ครั้ง)
admin
ไทยระยองดอทคอม
Administrator
Hero Member
*****
กระทู้: 11161



เว็บไซต์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2011, 04:54:09 pm »

เป็นเรื่องราวที่เพื่อนๆจากเวบ http://timpirus.com/forums/index.php?topic=801.0
ได้บันทึกจากหนังสือ ที่ อ.เพียร์วิทย์ ท่านได้เคยเล่าไว้ .. เพื่อนำมาผ่านสือสมัยใหม่ให้พวกเราได้อ่านกันต่อค่ะ...

โดย : เพียรวิทย์ จารุสถิติ
....... ผมเขียนประวัติ หลวงปู่ทิม ในหนังสือนิตยสารพระเครื่อง “รมโพธิ์” เป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งใจจะเขียนถึงวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ฯ ที่ผมได้มีโอกาสรับใช้ และได้พบเห็นปฏิปทาของท่านด้วยตนเอง ตลอดจนมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากพระผู้เฒ่าที่จำพรรษาอยู่วัดละหารไร่รวมทั้งคนเฒ่าคนแก่แถววัด ที่ได้เมตตาเล่าเรื่องราวของ หลวงปู่ทิม ให้ผมฟังอยู่เสมอ ซึ่งคนเฒ่าคนแก่แถวนั้น เมื่อเวลาพูดถึงหลวงปู่ฯ ทุกท่านจะพูดด้วยความเคารพ และเมื่อเอ่ยถึงหลวงปู่ฯ ท่านจะยกมือพนมขึ้นศีรษะทุกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านแถบนั้นมีความเคารพหลวงปู่ฯมากแค่ไหน่?

....... ทุกปีเมื่อถึงวันที่ 16 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่ หลวงปู่ทิม ท่านมรณภาพวันนี้จะเป็นวันสำคัญที่บรรดาลูกศิษย์-หลานศิษย์ แม้ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหนทุกคนจะเดินทางไปชุมนุมกันที่ วัดละหารไร่ เพื่อแสดงความกตัญญูและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่หลวงปู่ฯที่พวกเราเคารพรัก และนับถือท่านอย่างสูงภายในงานจะมีคณะสิงโตมาเชิดให้ชมฟรีทุกปี ทุกคนมาด้วยใจที่ศรัทธาจุดมุ่งหมายเพื่อมาทำบุญ

.......ในปีนี้ ทางวัดและคณะศิษย์ได้พร้อมใจกันจัดสร้างถาวรวัตถุขึ้นอีก 2 สิ่ง คือ สร้างยอดขุนพลบ้านค่ายหรือที่พวกเรารู้จักกันดีในนาม “พระขุนแผนพรายกุมาร” ขนาดยักษ์พร้อมด้วย “พระพิฆเนศ” องค์ใหญ่จึงได้มีการวางศิลาฤกษ์พระยอดขุนพลบ้านค่าย ขึ้นเมื่อเวลา 09.09 น. โดยคณะศิษย์หลายคนร่วมใจรับเป็นเจ้าภาพรายละ 5,000 บาท เพื่อเป็นทุนในการก่อสร้าง จากนั้นเวลา 14.09 น. ได้ฤกษ์เททองหล่อพระพิฆเนศ ณ บริเวณหน้าศาลาภาวนาภิรัต ซึ่งเป็นสถานที่เคยเทพระกริ่งชินบัญชรที่โด่งดังมาแล้วในอดีต

....... มีท่านผู้อ่านหลายท่านทีเดียวได้โทรมาบอกผมว่า ตนเองเป็นศิษย์รุ่นหลัง อยากให้ผมช่วยเขียนประวัติ “วัดละหารไร” อย่างคร่าวๆ พอเป็นสังเขป เพื่อนำมาประดับความรู้ของตนเองซึ่งผมก็รับปากว่าจะเขียนให้

.......“ วัดละหารไร่” นี้มีมานานประมาณ 182 ปีมาแล้ว ประมาณว่าคงจะเป็นปี พ.ศ.2354 โดยมี หลวงพ่อสังข์เฒ่า ท่านได้ไปพบพื้นที่ทางฝั่งคลองด้านตรงข้ามทางทิศเหนือของวัดละหารใหญ่ ซึ่งเป็นที่มีทำเลดีเหมาะแก่การปลูกผักจึงได้หักล้างถางพงใช้เป็นที่ปลูกผัก ไว้ขบฉันในฤดูแล้งขั้นแรกท่านได้สร้างที่พักร่มเงาไว้เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่

.......ต่อมาชาวบ้านได้ไปทำไร่ในแถบใกล้ๆ แถวนั้นมากขึ้น ได้เห็นว่ามีพระภิกษุอยู่ เมื่อถึงวันพระจึงได้จัดอาหารคาวหวานนำไปถวายเป็นประจำจนมีพระภิกษุสงฆ์เข้า ไปอยู่กันมากขึ้นจึงได้มีการจัดสร้างกุฏิวิหารขึ้นมาหลายหลัง หลังจากนั้นก็ได้มีพระเข้ามาจำพรรษากันที่นี้ โดยมี หลวงพ่อสังข์เฒ่า เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก

.......หลวงพ่อสังข์เฒ่า รูปนี้มีวิชาอาคมสูงมาก ท่านมีศักดิ์เป็น “ ทวด” ของ หลวงปู่ทิม เชี่ยวชาญทางคาถาอาคม มีอำนาจจิตสูงล้ำเหนือกว่าคณาจารย์ยุคนั้นจะมาเทียมได้ ภายหลังเจ้าเมืองระยองได้รับรู้ในด้านความขลังทางวิชาอาคมของท่าน จึงได้ส่งคนไปนิมนต์ “หลวงพ่อสังข์เฒ่า” มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเก๋งจีน (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลระยอง)

.......ส่วน วัดละหารไร่ ท่านก็ได้มอบหมายให้ “หลวงพ่อแดง” เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งก็ได้มีเจ้าอาวาสปกครองวัดละหารไร่สืบต่อมาหลายรูปที่พอรู้ชื่อก็มี หลวงพ่อเกิด, หลวงพ่อสิงห์, หลวงพ่อจ๋วม ภายหลัง “หลวงพ่อจ๋วม” ท่านได้สึกจากการเป็นพระ จึงทำให้วัดละหารไร่ขาดพระมาจำพรรษาเป็นเวลา 3 ปี

.......ต่อ มา หลวงปู่ทิม อิสริโก ได้เดินทางกลับมาจากเมืองชลบุรีเพื่อเดินทางมาเยี่ยมบ้านและญาติโยมได้เข้า ไปพักที่วัดละหารไร่ ญาติโยมตลอดจนชาวบ้านจึงได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ที่วัดละหารไร่ จนท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ.2450 หลวงปู่ทิม จึงได้สร้างโบสถ์ขึ้น 1 หลังทำด้วยไม้ทั้งหลัง ซึ่งปัจจุบันทางวัดยังเก็บรักษาไว้เพื่ออนุรักษ์ให้ลูกหลานได้เห็น

.......ปี พ.ศ. 2483 หลวงปู่ทิมได้สร้างศาลาการเปรียญ และเปิดให้เป็นสถานที่สอนนักเรียน เพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียน ต่อมาชาวบ้านเห็นดีด้วย จึงได้สร้างอาคารเรียนแบบ ป./ข. ขึ้นหนึ่งหลัง และเริ่มทำการสอนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 โดยมี นายเสียน จันทนี เป็นครูใหญ่

.......ปี พ.ศ. 2514 นายธง สุขเทศน์ และชาวบ้านวัดละหารไร่ ได้พร้อมใจกันสร้างโบสถ์หลังใหม่โดย หลวงปู่ทิม ได้มอบเงินให้เป็นทุนเริ่มแรก 30,000 บาท ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 เป็นที่น่าแปลกใจว่า พระอุโบสถหลังนี้ ด้วยบารมีของหลวงปู่ทิม จึงทำให้สร้างเสร็จภายในปีเดียว และได้ขอพระราชทานวิสุงคามเสมา ทำพิธีฝังลูกนิมิต เมื่อต้นปี พ.ศ. 2517

....... หลังจากที่สร้างโบสถ์เสร็จแล้วในปี พ.ศ. 2517 คณะ “คุณชินพร” ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดสร้างเสนาอาสนะภายในวัด โดยภายในวัดได้รับการร่วมมือจาก “โยมสาย แก้วสว่าง” และ “คุณเพียรวิทย์ จารุสถิติ” ศิษย์เอก และเป็นผู้รับใช้หลวงปู่ทิมอย่างใกล้ชิด จนทำให้เกิดเป็นศาลาการเปรียญหลังใหญ่, หอฉันมหาอุตตโมตลอดจนการสร้างพระกริ่งชินบัญชรและวัตถุมงคลอื่นๆ เป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศมาจนทุกวันนี้

.......ปี พ.ศ. 2478 หลวงปู่ทิม ได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นพระครูชั้นประทวน โดยได้ส่งหมายและตราตั้งไปที่เจ้าคณะจังหวัดระยองแต่หลวงปู่ทิมไม่ยอมรับและ ไม่บอกใคร ทางจังหวัดจึงได้มอบหมายให้เจ้าคณะอำเภอมามอบให้ที่วัดเองท่านจึงได้รับเป็น “พระครูทิม อิสริโก” และได้รับเป็นพระคู่สวด เมื่อ พ.ศ. 2497 ด้วยความดีที่ได้ทำมา ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูสัญญาบัตร แต่ท่านไม่ยอมไปรับและไม่บอกให้ญาติโยมรู้ จนทางเจ้าคณะอำเภอได้มีหนังสือส่งไปยังที่วัดละหารไร่จึงทำให้ญาติโยมได้รู้ และได้นิมนต์ท่านไปรับตราตั้งสัญญาบัตรพัดยศที่ วัดป่าประดู่ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507 โดยได้รับสมณศักดิ์ที่ “พระครูภาวนาภิรัติ

....... หลวงปู่ทิม ท่านเป็นพระปฏิบัติมักน้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้านในรูป-รส-กลิ่น-เสียง ท่านฉันอาหารเจ ไม่ยอมฉันแม้กระทั่งน้ำปลา ท่านฉันอาหารมื้อเดียว อาหารส่วนใหญ่ที่ท่านฉัน ส่วนมากจะเป็นผัก ถั่วหรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่นท่านได้ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลาเกือบ 50 ปี แต่ร่างกายของท่านก็ยังแข็งแรงอ้วนท้วมสมบูรณ์ อาจจะเป็นเพราะบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสะสมมาในอดีต จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านเจริญอายุจนถึง 96 ปี จึงได้มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 เวลา 23.09 น. ที่วัดละหารไร่ และทางคณะศิษย์ได้จัดให้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพไปแล้วเมือวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2526

.......ในการพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้ ได้มีลูกศิษย์หลายคนโดยเฉพาะโยมสาย แก้วสว่าง, ผม (เพียรวิทย์ จารุสถิติ) ได้บวชหน้าไฟให้หลวงปู่ทิม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่หลวงปู่ฯ ในครั้งนั้นด้วย

.......ในปี พ.ศ. 2547 นี้ ซึ่งเป็นปีที่ หลวงปู่ทิม มรณภาพครบ 29 ปี ทาง วัดละหารไร่ ได้จัดสร้างอนุสาวรีย์ยอดขุนพลบ้านค่ายขึ้นมา โดยจะสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดกว้าง 2.29 เมตร สูง 3.33 เมตร โดยนำขนาดและสัดส่วนของ “พระยอดขุนพลบ้านค่าย” พิมพ์ใหญ่มาขยายขึ้นอีก 999 เท่า เพื่อที่จะประดิษฐานใกล้ๆ กับพระพิฆเนศองค์ใหญ่ ที่ได้เททองไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเสร็จแล้วจะได้ทำพิธีบวงสรวง และจัดพิธีเทวาภิเษกอีกต่อไป เพื่อให้องค์พระพิฆเนศคอยคุ้มครองบรรดาศิษยานุศิษย์ทุกๆ คนที่เข้ามาวัดละหารไร่

.......และปีนี้ ผมได้ขออนุญาต ท่านพระครูวิจิตรธรรมาภิรัต (อาจารย์เชย) เจ้าอาวาววัดละหารไร่เพื่อขอสร้างพระผงขึ้นมา 2 พิมพ์ พิมพ์แรกได้สร้างเป็น “พระสิวลี มหาลาภ” โดยถอดแบบจากองค์จริงของพระสิวลีที่หลวงปู่ฯ เคยสร้างไว้แต่ย่อให้เล็กลงเพื่อเหมาะแก่นำไปติดตัวส่วนอีกพิมพ์หนึ่ง หลวงปู่ฯ เคยมาเข้าฝันผมว่า...ถ้ามีโอกาสควรจะสร้าง “หัวพ่อแก่ฤาษีอิสริโกมุนี” เพื่อที่จะได้แจกให้แก่ผู้ที่เคารพนับถือ ซึ่งก็สร้างได้ไม่มากนัก เพราะทำเพื่อคุณภาพจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อการค้าแต่อย่างไร? พระชุดนี้เป็นการกดมือทั้งหมด ไม่ได้กดเครื่องพระจึงมีเสน่ห์แก่ผู้ที่ได้เห็นมวลสารเมืองมองดูด้วยแว่น ขยายจะรู้สึกซึ้งตามาก

.......พระผงพิมพ์สิวลี กดได้ทั้งหมดประมาณ 300 องค์ ส่วน หัวพ่อแก่ฤาษีอิสริโก ได้ทั้งหมด 200 องค์เศษซึ่งผมจะกล่าวภายหลัง ได้นำเข้าพิธีปลุกเสกและอธิษฐานจิกไปแล้วที่วัดละหารไร่ ต่อหน้ารูปหล่อขี้ผึ้งของหลวงปู่ทิม และผมตั้งใจว่าจะนำเข้าพิธีใหญ่ๆ อีกสัก 2 ครั้ง หรือบางทีอาจจะนำไปให้พระที่มีอภิญญาสูงที่ผมเคารพนับถือให้ท่านช่วยอธิษฐาน จิตให้ซึ่งถ้ามีโอกาสผมจะได้นำพระผงชุดนี้ออกมาสมนาคุณแก่เพื่อนๆ และผู้ที่มีศรัทธาในองค์หลวงปู่ฯ เพื่อหาปัจจัยไปสร้างเสนาอาสนะในบวรพระพุทธศาสนาให้แก่วัดวาอารามที่อื่นตาม แต่จะเห็นสมควรซึ่งจะได้ประกาศให้ทราบภายหลังต่อไป

.......เมื่อผม อยู่รับใช้ หลวงปู่ทิม ที่วัดละหารไร่ก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ฯ ท่านได้กรุณาเมตตาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของพระสงฆ์ที่อยู่ในจังหวัด ระยองให้ผมฟังอยู่เสมอท่านเล่าว่า...ในบรรดาพระที่มีอภิญญาสูงมาก และทำของได้ขึ้นเร็วที่สุดเห็นจะไม่มีใครเกิน “หลวงพ่อเพ่ง” วัดละหารไร่

....... หลวงพ่อเพ่ง ท่านมีจิตกล้าแข็งมาก อธิษฐานของได้ขึ้นเร็วเพียงท่านกำหนดจิตแค่เดี๋ยวเดียวแล้วก็เป่าพ้วงไปที่ วัตถุมงคลนั้นๆ ปรากฏว่าวัตถุมงคลนั้นๆ ขลังขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

....... หลวงพ่อสาคร เล่าให้ผมฟังว่าเคยนำผ้าไปให้ท่านลง ท่านหยิบดินสอลงยันต์ตัวเดียว และก็เป่าไปที่ผ้าผืนนั้น เสร็จแล้วก็มอบให้หลวงพ่อสาคร หลวงพ่อสาครตอนนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่ ท่านนึกอยู่ในใจว่า”หลวงพ่อเพ่งคงไม่ได้เรื่อง คนเขาทำของกันต้องใช้เวลานานเป็นอาทิตย์จึงจะใช้ได้”

.......ด้วย ความสงสัยจึงแอบเอาผ้าผืนนั้นไปลองยิง ปรากฏว่ายิงเท่าไหร่ก็ไม่ออก แต่พอหันกระบอกปืนยิงไปที่อื่น กระสุนก็ยิงออกทันที ท่านจึงรู้ว่า “หลวงพ่อเพ่ง” มีกระแสจิตสูงยิ่งนักเมื่อท่านได้บวชเป็นพระแล้ว หลวงพ่อสาครซึ่งตอนนั้นท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดละหารไร่ จึงหาโอกาสไปกราบ “หลวงพ่อเพ่ง” และขอเรียนวิชาอาคมต่างๆ จากท่าน ซึ่งท่านก็สอนให้ด้วยความเต็มใจ

.......หลวงปู่ทิม ได้เล่าให้ผมฟังอีกว่าพระที่เก่งในจังหวัดระยองยังมีอีกมาก หลวงพ่อทอง วัดน้ำคอกเก่า องค์นี้ก็ไม่เบา ท่านสามารถเดินบนผิวน้ำได้เวลาทางวัดมีงาน “หลวงพ่อทอง” จะนิมนต์ “หลวงพ่อกราด” ซึ่งอยู่วัดห้วงหิน และหลวงพ่อกราดองค์นี้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ทิม เชี่ยวชาญวิชาด้านพัดโบกเป็นอย่างยิ่ง

.......กล่าวกันว่า “ผ้ายันต์พัดโบก” ของหลวงพ่อกราดนั้น ถ้าทำตามตำราถูกต้อง นำไปโบกเหนือลม ให้ปลายลมปลิวไปทางไหน สาวๆ ที่อยู่ใต้ลมถึงกับต้องมนต์สะกด บางคนกำลังไถนาอยู่ ถึงกับทิ้งคันไถวิ่งมาหาทันที ซึ่งวิชานี้ “หลวงปู่ทิม” ก็ได้เล่าเรียนจนหมดสิ้น


.......ภายหลังวิชาพัดโบกนี้ หลวงปู่ฯ ก็ได้ถ่ายทอดให้ “หลวงพ่อสาคร” รับช่วงแทนต่อไป

....... หลวงพ่อกราด กับ หลวงพ่อทอง เป็นพระสหธรรมิกกัน ถ้าวัดไหนใครมีงาน เนื่องจากวัดอยู่ไกล ท่านจะผูกหุ่นพยนต์ไปหา จึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในวัดแต่ละวัดต่างพากันแปลกใจว่า ทำไม่? หลวงพ่อทั้งสอง จึงมาหาสู่กันได้ โดยที่ยังไม่มีใครไปนิมนต์?

....... มีพระรูปหนึ่งที่ หลวงปู่ทิม มักเล่าให้ผมฟังอยู่เสมอว่า มีวัดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “วัดหนองสนม” มี “ท่านพ่อหิน” เป็นเจ้าอาวาส ท่านเล่าว่า...หลวงพ่อหิน เป็นพระที่หลวงพ่อสังข์เฒ่า บวชให้ โดยมี หลวงพ่อแอ่ววัดป่าประดู่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ได้รับฉายาว่า “ถาวโร” หลังจากที่บวชแล้ว ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดทับมาประมาณ พ.ศ. 2449

....... หลวงพ่อหิน ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จาก หลวงพ่อสังข์เฒ่า เนื่องจากอุปนิสัยของหลวงพ่อหินนั้นท่านเป็นคนดื้อและแข็งกร้าว เป็นคนอยากลองดี โดยเหตุที่พระอุปัชฌาย์ ของท่านเป็นพระที่ดุมาก มีระเบียบวินัยจัด ใครทำผิดวินัยแล้ว หลวงพ่อสังข์เฒ่าจะต่อว่าและดุด่าทีนที คนไหนที่ท่านดุด่าแล้วไม่รู้จักจำ ท่านจะไล่ออกจากนอกวัดทันทีแต่หลวงพ่อหินท่านไม่กลัวหลวงวพ่อสังข์เฒ่า ดุก็ดุไปถ้าท่านไม่ทำผิดวินัยซะอย่าง

.......เวลาวัดมีงานท่านก็ออก มาช่วยอะไรที่ไม่ดี ท่านก็ทำให้ดีขึ้น คาถาอาคมที่ตนเองเล่าเรียนมา ถ้าไม่รู้ท่านจะรีบถาม “หลวงพ่อสังข์เฒ่า” ทันทีจึงทำให้หลวงพ่อสังข์เฒ่าท่านรักหลวงพ่อหินมาก และก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้หลวงพ่อหินจนหมด

.......หลวงปู่ทิม ได้เล่าว่า หลวงพ่อหินมีวิชาคงกระพันสูง สามารถปลุกเสกผ้าและหมากพลูให้เป็นต่างๆได้สมัยที่ท่านไปกราบหลวงพ่อ หินที่วัดหนองสนม ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อเคยเอ่ยถามหลวงพ่อหินว่า “เรื่องคาถาอาคมนั้นมีจริงหรือไม่? และท่านพ่อมีความเชื่อในด้านคาถาที่เกี่ยวกับเสกของให้เป็นนั้นเป็น จริงหรือ?”

.......หลวงพ่อหิน ได้ฟังเช่นนั้นท่านก็ไม่ตอบได้แต่ยิ้ม สักพักหนึ่งท่านก็กวักมือทำเป็นเรียกตัวอะไรให้ออกมาจากใต้โต๊ะ ปรากฏว่าเป็นลูกหนูตัวหนึ่ง ซึ่งท่านเอามือเคาะที่พื้นเบาๆ ลูกหนูตัวนั้นก็วิ่งไปที่มือของท่านหลวงปู่ทิมเห็นเช่นนั้นก็มองดู สักพักหนึ่งปรากฏว่าลูกหนูที่อยู่ในมือหลวงพ่อหินกลายเป็นเส้นด้ายขดหนึ่ง

....... ท่านมองหลวงปู่ทิมและพูดว่า “คาถาอาคมที่เราถืออยู่ทุกวันนี้ ถ้าคิดว่าเป็นจริงมันก็จริง แต่คนที่จะทำถึงขั้นนี้ได้ ต้องฝึกจิตมาเป็นอย่างดี” ซึ่งครั้งหนึ่ง “หลวงปู่ทิม” ก็เคยเสกผ้าให้เป็น “กระต่าย” กระโดดโลดเต้นให้ลูกศิษย์เห็นต่อหน้า “หลวงปู่แก้ว” มาแล้ว ซึ่งผมและโยมสาย แก้วสว่าง ก็อยู่ในเกตุการณ์วันนั้นด้วย

....... หลวงพ่อหิน ท่านสร้างวัตถุมงคลได้ขลังมาก เหรียญของท่านเยี่ยมยอดในด้านคงกระพัน ส่วนรูปหล่อของท่านก็หนักไปในด้านคงกระพันเช่นกัน จนคนในระยองต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า “ใครมีรูปหล่อของหลวงพ่อหินไม่มีวันหรอกที่จะเสียเลือดให้แก่ใคร” แสดงถึงว่า ถ้าใครคล้องเหรียญหรือรูปหล่อของท่านเชื่อขนมกินได้เลยว่า “แมลงวันไม่มีโอกาสได้ตอมเลือดอย่างแน่นอน”

.......อีกวิชาหนึ่งที่ หลวงปู่ทิม” เคยไปเรียนกับ “หลวงพ่อหิน” นั้นคือวิชาทำสีผึ้งเมตตา และหลังจากนั้นหลวงปู่ฯ ก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมในสมุดโบราณที่จารึกโดย “หลวงพ่อสังข์เฒ่า” สีผึ้งของหลวงปู่ทิม ท่านทำได้ขลังและวิเศษมาก ผมเองทุกวันนี้ก็ใช้ติดตัวอยู่เสมอ เรื่องเมตตาไม่ต้องถามถึง เพราะตนเองใช้แล้วรู้สึกดี จึงใส่ตลับห้อยคอไว้ แต่ก็ได้ถูกเพื่อนๆ ที่รักใคร่พากันขอแบ่งไปนิดแบ่งไปหน่อยจนเวลานี้แทบจะไม่มีเหลืออีกเลยก็ สมบัติผลัดกันชม จึงไม่คิดอะไรตัวเองตอนนี้ก็อายุมากขึ้นทุกวัน เรื่องเสน่ห์เห็นทีจำเป็นจะต้อง “หยุด” เสียทีถ้าไม่หยุดอนาคตคงจะไม่เหลืออะไรเป็นแน่ เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ปวดหัวเต็มทนอยู่แล้ว เรียนผูกไม่ได้เรียนแก้ ก็เป็นเช่นนี้แหละ ผมพึ่งคิดได้ว่าคำพูดที่หลวงพ่อนิด วัดทับมา เคยพูดกับผมอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า “ถ้าเอ็งมัวแต่เรียนเรื่องเสน่ห์ สักวันหนึ่งเอ็งจะรู้ว่า “นรก” มันมีจริง

.......ศิษย์เอกที่เคยเล่า เรียนอยู่กับ “หลวงปู่ทิม” เท่าที่ผมรู้ก็มี “หลวงพ่อสาคร” หรือ “ท่านพระครูมนูญธรรมวัตร” เจ้าอาวาสวัดหนองกรับ จ.ระยอง ซึ่งหลวงปู่ทิมท่านเมตตาและรักใคร่หลวงพ่อสาครเป็นอย่างมากเพราะหลวงพ่อสาคร บวชอยู่ที่วัดละหารไร่ เคยรับใช้ดูแลหลวงปู่ทิมสมัยที่ท่านเป็นพระหนุ่มใหม่ๆ เนื่องจากท่านเป็นพระที่สนใจในวิชา และ คาถาอาคมเป็นอย่างมาก ชอบเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ รวมทั้งยังมีความสามารถเขียนอักขระเลขยันต์ได้อย่างสวยงามอีกด้วย

....... อีกประการหนึ่งที่ “หลวงปู่ทิม” ให้ความเอ็นดูหลวงพ่อสาครเป็นพิเศษก็คือหลวงพ่อสาครสามารถอ่านอักขระขอมและ บาลีได้อย่างคล่องแคล่ว ต่างกับพระบางรูปที่บวชอยู่กับวัดแต่ไม่เป็นอะไรเลยสักอย่าง ซึ่งในที่นี้ผมก็อยากจะกล่าวถึงประวัติของ หลวงพ่อสาคร ซึ่งเป็นศิษย์เอกที่ได้รับการครอบวิชาทั้งหมดจาก หลวงปู่ทิม ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบพอเป็นสังเขป เนื่องจากมีท่านผู้อ่านให้ความสนใจมาก และโทรมาถามผมบ่อยๆ ให้ช่วยเขียนประวัติของ หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับลงไปในนิตยสารพระเครื่อง “ร่มโพธิ์” บ้างเพราะปัจจุบันนี้มีผู้อ้างเป็นศิษย์ของหลวงปู่ทิมมากเหลือเกินซึ่งก็มี จริงบ้างไม่จริงบ้างเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง

.......จากคำประกา สิทธิ์ที่ “หลวงปู่ทิม” เคยกล่าวให้บันดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่า “ถ้าสิ้นนี่แล้ว ท่านสาครจะแทนนี้ได้” ก็เริ่มฉายแววแห่งความจริงขึ้นมา หลังจากที่หลวงปู่ทิมมรณภาพไปแล้ว ผู้คนที่ขาดที่พึ่งทางใจต่างก็มุ่งสู่ วัดหนองกรับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดละหารไร่มากนัก สมัยที่ผมบวชอยู่ที่วัดละหารไร่ เคยเดินไปหาหลวงพ่อสาครที่วัดหนองกรับขณะเดินตัดทุ่งนาต้องใช้เวลาเกือบ 1 วัน เพราะตนเองไม่ได้เรียนวิชาย่นระยะทางเล่นเอาเหงื่อโชกทีเดียว เปียกจีวรไปหมด

.......วัดหนองกรับ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นวัดเก่าแก่ ก่อสร้างเมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2328 โดยมี หลวงพ่อคล้าย เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ได้อาศัยชาวบ้านในแถบนั้น ช่วยกันถางป่าสร้างเป็นที่พักสงฆ์ขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่าบริเวณนี้เหมาะแก่การสร้างวัดเพราะมีลำคลองใหญ่อยู่ใหล้วัด สะดวกในการขนส่งทางน้ำ ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีถนนหนทางเหมือนปัจจุบันนี้

....... ขณะเริ่มก่อสร้างวัดขึ้นมาใหม่นั้น ได้มี นายผ่อง-นางซ้อน ประดับผล เห็นว่าบริเวณที่จะสร้างวัดนั้นคับแคบมาก จึงมีศรัทธาถวายที่ดินของตนเองที่อยู่ติดวัดให้อีก 3 ไร่เศษทำให้วัดมีพื้นที่เพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 6 ไร่เศษ

.......จนมาถึง ยุค หลวงพ่ออิ่ม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 8 ของวัดหนองกรับ ท่านได้ก่อสร้างศาลาการเปรียญไม้ขึ้นมา 1 หลัง และในปี พ.ศ. 2473 ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดก็คือ ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น จนทำให้วัดได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากหลักฐานสำคัญบางอย่างต้องถูกเผาไป จนหมดสิ้น วัดหนองกรับในเวลานั้นเกือบเป็นวัดร้าง

.......มาถึงสมัย “หลวงพ่อเกลี้ยง” ท่านได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดขึ้นใหม่ และได้สร้างหอระฆังขึ้นในปี พ.ศ. 2495 พอถึงปี พ.ศ. 2498 ก็ได้สร้างโบสถ์ขึ้น พร้อมทั้งสร้างกุฏิสงฆ์อีกหลายหลัง วัดก็ได้เจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

.......“หลวงพ่อเกลี้ยง” ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวนที่ “พระครูเกลี้ยง” ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ ถึงปี พ.ศ. 2508 จึงได้มรณภาพด้วยโรคชรา ชาวบ้านและกรรมการวัดจึงได้ไปกราบ หลวงพ่อทาบ วัดทาบกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งเวลานั้นเป็นเจ้าคณะตำบล เพื่อขอ “พระสาคร” อยู่ที่วัดละหารไร่ แต่ “พระสาคร” ได้ปฏิเสธที่จะมาวัดหนองกรับ

.......สาเหตุที่หลวงพ่อสาคร ไม่อยากไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดหนองกรับเพราะอะไร?เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังในเล่มหน้านะครับ.....

ที่มา http://timpirus.com/forums/index.php?topic=801.0
บันทึกการเข้า

กระทู้นี้โพสโดยThaiRayong.com
เพราะทุกการเดินทางคือมิตรภาพ

เวบไทยระยอง.com รวมสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจแนะนำมากมาย
คลิกดูแผนที่ท่องเที่ยวที่พักระยอง http://www.ThaiRayong.com
รวมที่เที่ยวระยอง http://www.ThaiRayong.com/tour

ขอขอบพระคุณผู้สนับสนุนเวบไซค์ ThaiRayong.com
**สนใจป้ายโฆษณา ติดต่อจองเป็นผู้สนับสนุน โทร จำนวนจำกัด **

โรงงานผลิตจำหน่ายเสื้อคอกลม เสื้อโปโล งานปัก สกรีน งานด่วนสั่งได้ ราคาเป็นกันเอง 089-487-8789 tour rayong rayong resort rayong food



ข้อมูลติดต่อ ไทยระยองดอทคอม:
แผนที่ ที่พัก เที่ยว กิน ชอป คลิก https://www.thairayong.com
เราคือเพื่อนกัน...เพื่อนไทยระยองดอทคอม
thairayong.webmaster@gmail.com | www.facebook.com/thairayong
คำเตือน:โปรดระวัง! การซื้อ-ขายใดๆในนี้ ผู้เข้าชมติดต่อธุรกิจนั้นๆเอง ซึ่งเราไม่เกี่ยวข้องใดๆ
magicmo
Full Member
***
กระทู้: 225


« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 21, 2012, 06:58:10 pm »

ขอบใจมากๆนะครับ
บันทึกการเข้า

magicmo
Full Member
***
กระทู้: 225


« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 05, 2012, 10:09:18 am »

 ขอบคุณมากนะครับ
บันทึกการเข้า

magicmo
Full Member
***
กระทู้: 225


« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2012, 05:22:46 pm »

 
บันทึกการเข้า

หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  









เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.20 | SMF © 2006-2009, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!